กรุสำหรับ มิถุนายน, 2011

ควายในน้ำ

Posted: มิถุนายน 28, 2011 in เพลง

โชคชะตา

Posted: มิถุนายน 19, 2011 in บทความ

โชคชะตาหรือพรหมลิขิต ความจริงผมว่านะมันไม่ได้กำหนดชีวิตใครหรอก คนที่กำหนดคือตัวคุณเองนั้นแหละ เพียงแต่โชคชะตาหรือพรหมลิขิต มันกำหนดตัวเลือกให้เรา ถ้าเราเลือกดีมันก็ดีกับคุณเอง ถ้าคุณเลือกผิดก็ต้องทุกข์ เสียใจ เศร้า เสียใจ ลองคิดดูนะบ้างเรื่องถ้าคุณมีประสบการณ์หรือความรู้ คุณก็จะเลือกได้ดี ถูกต้อง แต่เรื่องไหนที่คุณไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์คุณอาจเลือกผิดก็ได้ เพราะฉะนั้นจงอย่าโทษโชคชะตา แต่จงสำนึกว่าตัวเองได้เลือกผิดเองต่างหาก และเมื่อถึงเวลาโชคชะตาจะกำหนดทางเลือกให้คุณ จงเลือกมัน คุณจะเป็นคนกำหนดเอง


จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ได้ยังไงมาดูกัน

เพราะจินตนาการช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้บังเกิดขึ้น เมื่อแรงบัลดาลใจเกิดทุกๆอย่างจะเกิดไม่ว่าจะเป็นความคิด แรงพยายาม และเราจะสนุกกับมันได้อย่างไม่เบื่อ จินตนาการไม่มีขีดจำกัดเหมือนความรู้เราสามรถไปได้เรื่อยๆ ความรู้จะหยุดอยู่แค่ที่เรารู้ แต่จินตนาการจะไม่มีวันหยุด บางคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ฝันกลางวัน คนๆนั้นคิดผิด ดูอย่างเทคโนโลยีที่เราใช้กันทุกวันนี้ มันอาจเป็นความฝันของใครบางคนในอดีต แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริง และจินตนาการนี้แหละจะเป็นตัวสร้างความรู้ให้เราเองโดยที่เราไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่คนจะมองว่าพวกที่มีจินตนาการสูงจะต้องเป็นพวกศิลปิน แต่ไม่เลยคนเก่งทุกคนมีมัน และคนเ่หล่านั้นใช้มันเป็น เข้าใช้มันในการสร้างความฝัน แรงบันดาลใจ และคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่หลายคนมองว่ามันฝันเฟื่อง บางครั้งคนเราต้องลองคิดนอกกรอบดูบ้าง ไม่งั้นก็ต้องยึดติดกับสิ่งเดิมๆตลอดไป จินตนาการ เรื่องไร้สาระแต่คุณรู้ไหมมันนี้แหละคือพลัง อำนาจที่ไม่มีที่สุดชัวนิรันดร์ ตอนวัยเด็กคุณจะมีมันมากทึ่สุด แต่คุณยังใช้มันไม่เป็น พอโตขึ้นเราอาจใช้มันเป็นและเมื่อจินตนาการเป็นภาพกับคามสามรถในการคำนวนมาบรรจบพบกัน ความอัจฉริยะก็จำกำเนิดขึ้น แต่มันจะค่อยๆหายไปทุกๆครั้งที่คุณโตขั้น คุณจะรักษามันไว้ได้ยังไงหล่ะ เพราจินตนาการมันเป็นเรื่องเด็กๆ โดยธรรมชาติแล้ว เพศชาย เมื่อเติบโตขึ้นจะยังคงเหลือความเป็นเด็กติดตัวอยู่มากกว่าเพศหญิง และส่วนนี้แหละถือเป็นจุดได้เปรียบของเพศชาย คนที่มีความเป็นเด็กอยู่ จะมีจินตนาการสูง มีอารมณ์ขัน และขี้เล่น……สรุปก็คือผู้ชายบ้า และปัญญาอ่อนกว่าผู้หญิง 5555 คงเข้าใจนะว่าจะรักษามันไว้ได้ยังไง(ไม่มีอ้างอิงจากที่ไหน)

สมองวิเศษ

Posted: มิถุนายน 6, 2011 in บทความ

ข้ออเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ ซึ่งจะช่วยให้ท่านเข้าใจมันสมองของวิเศษในตัวท่าน

1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็น

คนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึกมึนงง เพลีย ทำงานช้าลง
เข้าใจเอาเองว่า ใช้สมองมาก จนสมองเพลีย จึงต้องหยุดพักสมอง
เมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทำงานได้ดีขึ้น พวกนักวิทยาศาสตร์
ได้ทดลองเรื่องนี้ ว่าจริงไม่จริงอย่างไร ก็พบว่าไม่จริง
สมองเพลียกับใครไม่เป็น เพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อ
ไม่ได้ทำงานอย่างกล้ามเนื้อ พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)
ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียน
เปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่เท่านั้น ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลย

อาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง ก็คือความเบื่อ อย่างเช่นเวลาท่องตำรายากๆ
สักเล่มหนึ่งพอดึกเข้า สักหน่อย ใจหนึ่งอยากอ่านต่อไป อีกใจหนึ่งอยากนอน
เช่นนี้ทำให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่าน
ดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่า
ท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทำงาน
และไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น

2. กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุด

สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำการคิดและความรู้สึกต่างๆ
สมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัว
แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่าแอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite)
สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)
แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อของกระแส
ไฟฟ้าในสมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่

อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญ
นักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคน
โดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์ หรือไอคิว แล้วกำหนดว่าคนนั้นๆมีไอคิวเท่านั้นๆ
ถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ำกว่าร้อย ก็ออกจะเสียใจ สักหน่อย
แต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลย
เพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นัก อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่าย
เท่าที่เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆ
มักจะฉลาดกว่าคนอื่น

แต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้ จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือ

นักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามีและมีได้แน่ๆ คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง
มีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึก ตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงาน
ไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆ เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมี
ไอคิวเท่าๆ กับคนธรรมดา อย่างเช่น จอห์น อาดัมส์, อับราฮัม ลินคอล์น, นโปเลียน,
เนลสัน เหล่านี้มีสมองธรรมดาๆ แต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษ
คืออุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง คนสมองดีๆถ้าไม่หมั่นใช้มันก็จะฝ่อได้

4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกัน

ความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้
สมองเสื่อม ความจำไม่ดี ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้ดังนี้
แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียน
การเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหว
ดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรค
หรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้
ที่ว่าแก่ป้ำๆเป๋อๆชื่อคนที่เคยจำได้ก็นึกไม่ออก อะไรพวกนี้
เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น

5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอ

สมองเหมือนกับกล้ามเนื้อ
ตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้น
ท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น หากท่านใช้ความจำอยู่เสมอ
ความจำของท่านก็จะดีขึ้น คือท่านจะจำอะไรได้เร็วขึ้น
มีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจ
กำลังอันนี้สะสมอยู่ในสมอง
ทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจหรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหา
หรือความยากลำบากต่างๆ
กำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น

6. จิตใต้สำนึก….คลังอันน่ามหัศจรรย์

ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิตใต้สำนึก หรือบางทีเรียกว่า
จิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษ
และความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกอง
แต่มันน่าประหลาด ที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้
มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน ทันด่วน
และแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว
จิตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสำนึกรักษาโรคจิต
อย่างเช่นบางคนอยู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดำ
เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลัง ที่ตกตะกอนลงไปอยู่ในจิตแห่งนั้น
ก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่
มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้าน
แต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้
เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อเขาโตขึ้น
มันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำ

นักจิตวิทยากล่าวว่า
หากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้
อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่
เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า พอถึงตีห้า จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเอง
ถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาด
เราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง

ฝึกสมอง

Posted: มิถุนายน 6, 2011 in บทความ

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์ *~๏

1.     จิบน้ำบ่อย ๆ  (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2.     กินไขมันดี  (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3.     นั่งสมาธิวันละ 12 นาที  (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4.     ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5.     หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟืนซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6.     เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7.     ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8.     เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9.     ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

ไร้สาระของฉัน

Posted: มิถุนายน 6, 2011 in บทความ

มาเข้าใจความบ้ากัน

ถ้าเปรียบความรอบรู้คือบวก ความบ้าคือลบ เมื่อคนเรามีด้านใดด้านหนึ่งที่มากเกินไปเราต้องปรับสมดุลนั้น เพราะทุกอย่างต้องการความสเถียรและสมดุลในตัวมันเอง ก็เหมือนกับคนเก่งมากเกินไปเมื่อมากเกินไปสมองจะรับไม่ไหวจนคิดอะไรไม่ออกสุดท้ายก็ตาย แต่ถ้าเราปรับสมดุลให้มันพอดีหล่ะ ความเก่งก็ยังคงอยู่ และไม่ตาย อาจมีหลายครั้งที่เห็นคนเก่งๆทำตัวปัญญาอ่อน ฉันคิดว่ามันคือเหตุผลนี้ ถ้าความเก่งบวก 10 ก็ต้องบ้า ลบ 10 มันก็สมดุล เอาง่ายๆแบบที่ฉันคิด คือ ยิ่งเก่งก็ยิงบ้า ขึ้นอยู่กับว่าจะบ้าแบบไหน ถ้าเราค่อยๆปรับสมดุลร่างกายเราก็จะเสถียร แต่ถ้าเราไม่ปรับวันนึงมันจะปรับเอง เมืื่่อนั้นแหละจะรู้สึก คนเก่งๆหลายคนมีปัญหาทางจิตจนเกินการเยียวยา เพราะความไม่เสถียรสมอง เพราะความเก่งเกินไปสมองรับไม่ไหวสุดท้ายมันจะปรับตัวอย่างรุนแรง สุดท้ายมันจะดึงขั้วลบออกมา สมองจะอยู่ในสภาวะติดลบจนเกินเยียวยา เพราะว่าสมองจะปิดกันขั้วบวกทันที่เพราะขั้วบวกทำให้เกิดปัญหา สมองต้องการปกป้องร่างกายไว้นั้นเอง(ไม่มีทฤษำีใดๆยืนยัน มันเป็นความคิดของฉันเอง)